การทำ On-Page SEO (Search Engine Optimization) เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้เหมาะสมกับการค้นหาของ Google โดยการปรับแต่งหลายด้านในเว็บไซต์ให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขึ้นอันดับในผลการค้นหาของ Google ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการมองเห็นเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต
1. การใช้คำหลักอย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้คำหลัก (Keywords) อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งในเทคนิคที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO เพราะคำหลักช่วยให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับคำค้นหาใด และช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการได้ง่ายขึ้น การใช้คำหลักที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยดังนี้:
1. การเลือกคำหลักที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
การเลือกคำหลักควรสะท้อนถึงสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายของคุณจะค้นหา ตัวอย่างเช่น หากคุณขายสินค้าในกลุ่มแฟชั่น คำหลักที่ใช้ควรเกี่ยวข้องกับประเภทของสินค้า เช่น “เสื้อผ้าผู้หญิง” หรือ “แฟชั่นฤดูใบไม้ร่วง” เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีความสนใจในสินค้าประเภทนั้น
2. การใช้คำหลักหลัก (Primary Keyword) และคำหลักรอง (Secondary Keywords)
คำหลักหลัก (Primary Keyword) ควรใช้ในตำแหน่งที่สำคัญ เช่น ชื่อเรื่อง (Title Tag), หัวข้อหลัก (H1 Tag), และ URL ขณะเดียวกันคำหลักรอง (Secondary Keywords) ควรใช้ในเนื้อหาที่รองรับหรือในส่วนต่างๆ ของบทความเพื่อเสริมความเข้าใจและเชื่อมโยงเนื้อหา เช่น คำอธิบายเมตา (Meta Description) หรือในพารากราฟต่างๆ ของเนื้อหา
3. การใช้คำหลักในเนื้อหาธรรมชาติ
การใส่คำหลักในเนื้อหาควรทำให้ดูเป็นธรรมชาติและไม่ยัดเยียด (Keyword Stuffing) ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกไม่สะดวกและอาจส่งผลเสียต่อประสบการณ์การใช้งาน การใช้คำหลักควรเหมาะสมกับบริบทและต้องทำให้เนื้อหายังคงเป็นประโยชน์และอ่านง่าย
4. ความยาวของคำหลัก (Long-tail Keywords)
การใช้คำหลักยาว (Long-tail Keywords) คือคำหลักที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น “เสื้อผ้าผู้หญิงราคาถูกออนไลน์” แทนที่จะใช้คำหลักทั่วไปเช่น “เสื้อผ้าผู้หญิง” จะช่วยเพิ่มโอกาสในการจับกลุ่มลูกค้าหรือผู้ค้นหาที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง ทำให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
5. การใช้คำหลักในที่สำคัญภายในหน้าเว็บ
เพื่อให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ดียิ่งขึ้น คำหลักควรถูกใช้ในตำแหน่งที่สำคัญ เช่น ในหัวข้อ (Headings) และในพารากราฟแรกๆ ของเนื้อหา รวมถึงการใช้ในแท็กภาพ (Alt Text) ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในผลลัพธ์การค้นหา
6. การหลีกเลี่ยงการใช้คำหลักมากเกินไป
การยัดเยียดคำหลักมากเกินไป (Keyword Stuffing) ไม่เพียงแต่ทำให้เนื้อหาดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ยังสามารถทำให้ Google ลงโทษเว็บไซต์ของคุณได้ ควรใช้คำหลักอย่างระมัดระวัง และคำนึงถึงความหลากหลายของคำที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เนื้อหาดูเป็นธรรมชาติและน่าสนใจ
7. การใช้คำหลักในเมตาแท็ก (Meta Tags)
การใส่คำหลักในเมตาแท็ก เช่น Meta Title และ Meta Description ช่วยให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของหน้าเว็บเกี่ยวข้องกับคำค้นหาใด โดย Meta Description นั้นไม่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา แต่ช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) โดยการทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาของตน
การใช้คำหลักอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยในการจัดอันดับใน Google แต่ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน โดยทำให้ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น
2. การปรับแต่ง Title Tag และ Meta Description
Title Tag และ Meta Description เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการจัดอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google รวมถึงการดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้าไปในเว็บไซต์ ดังนั้นการปรับแต่งทั้งสองส่วนนี้ให้เหมาะสมเป็นการเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ได้รับความสนใจจากผู้ค้นหามากขึ้น
1. Title Tag
Title Tag หรือ “แท็กชื่อเรื่อง” เป็นชื่อที่แสดงในผลการค้นหาของ Google และแทบจะเป็นสิ่งแรกที่ผู้ใช้เห็นเมื่อค้นหาเว็บไซต์จากเครื่องมือค้นหา Title Tag เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญเกี่ยวกับเนื้อหาของหน้าเว็บนั้นๆ โดยมีข้อแนะนำในการปรับแต่งดังนี้:
-
ความยาวที่เหมาะสม: ควรยาวไม่เกิน 60 อักขระ เพื่อไม่ให้ Google ตัดข้อความออกเมื่อแสดงในผลการค้นหา
-
การใช้คำหลัก: คำหลักหรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาควรปรากฏใน Title Tag โดยเฉพาะในตำแหน่งต้นๆ เพื่อให้ Google เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
-
ทำให้ดึงดูด: การเขียน Title Tag ให้มีความน่าสนใจจะช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) โดยการใช้คำที่กระตุ้นความสนใจ เช่น “วิธี”, “ฟรี”, “คำแนะนำ”, หรือ “ดีที่สุด”
-
แบรนด์หรือชื่อเว็บไซต์: หากเป็นเว็บไซต์ธุรกิจ ควรใส่ชื่อแบรนด์หรือชื่อเว็บไซต์ไว้ที่ส่วนท้ายของ Title Tag เพื่อให้ผู้ใช้สามารถรู้ว่าเว็บไซต์มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้
ตัวอย่าง Title Tag ที่ดี:
“การทำ SEO On-Page เพื่อการจัดอันดับที่ดีขึ้น | ชื่อเว็บไซต์”
2. Meta Description
Meta Description คือข้อความสั้นๆ ที่สรุปเนื้อหาของหน้าเว็บ ซึ่งจะแสดงในผลการค้นหาภายใต้ Title Tag Meta Description ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ แต่ส่งผลต่อการดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้าเว็บไซต์ ดังนั้นการเขียน Meta Description อย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญ
-
ความยาวที่เหมาะสม: ควรยาวประมาณ 150-160 อักขระ เพื่อให้ข้อความทั้งหมดแสดงผลครบถ้วนในหน้าผลการค้นหา
-
ใช้คำหลัก: คำหลักหรือคำที่เกี่ยวข้องควรปรากฏใน Meta Description โดยเฉพาะคำหลักที่ผู้ค้นหาใช้ ซึ่งช่วยให้ Google รู้ว่าเนื้อหาของหน้าเว็บเกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้นๆ
-
เขียนให้ดึงดูด: เนื่องจาก Meta Description จะช่วยให้ผู้ใช้งานตัดสินใจคลิกเข้าเว็บไซต์ คำอธิบายควรมีความน่าสนใจและกระตุ้นให้เกิดความสนใจจากผู้ใช้งาน
-
บอกประโยชน์ที่ผู้ใช้งานจะได้รับ: การอธิบายว่าเว็บไซต์นั้นๆ มีอะไรที่สามารถช่วยแก้ปัญหาหรือประโยชน์อะไรให้กับผู้ใช้งาน เช่น “เรียนรู้วิธีการทำ SEO เพื่อเพิ่มอันดับใน Google” หรือ “รับคำแนะนำการออกแบบเว็บไซต์ที่ดึงดูดผู้เข้าชม”
ตัวอย่าง Meta Description ที่ดี:
“ค้นพบวิธีการทำ On-Page SEO ที่สามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นอันดับในผลการค้นหา Google ด้วยเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที”
สรุป การปรับแต่ง Title Tag และ Meta Description ไม่เพียงแต่ช่วยในการจัดอันดับใน Google แต่ยังช่วยดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ โดยควรใช้คำหลักที่เกี่ยวข้อง, เขียนให้น่าสนใจ, และมีความยาวที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มอัตราการคลิกและปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO
3. ความเร็วของเว็บไซต์
ความเร็วของเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทั้งประสบการณ์ของผู้ใช้และการจัดอันดับบน Google เว็บไซต์ที่โหลดช้าจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกหงุดหงิดและอาจทำให้พวกเขาออกจากเว็บไซต์ก่อนที่จะมีโอกาสได้ดูเนื้อหาจริง ส่งผลให้ค่าอัตราตีกลับ (Bounce Rate) สูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงลบต่อ Google
Google ได้ระบุไว้ว่าความเร็วของหน้าเว็บเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ในการจัดอันดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนอุปกรณ์มือถือ เนื่องจากปัจจุบันการเข้าถึงเว็บไซต์ผ่านมือถือมีจำนวนมากขึ้น การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ไม่ควรมองข้าม
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเร็วของเว็บไซต์
-
ขนาดของไฟล์และรูปภาพ
ไฟล์รูปภาพที่มีขนาดใหญ่จะใช้เวลาโหลดนานขึ้น การบีบอัดรูปภาพโดยใช้เครื่องมือเช่น TinyPNG หรือการใช้รูปแบบไฟล์ที่เหมาะสมเช่น WebP สามารถช่วยลดขนาดไฟล์และเพิ่มความเร็วในการโหลดได้ -
การใช้ระบบแคช (Caching)
การใช้ระบบแคชช่วยให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้นโดยการเก็บข้อมูลบางส่วนของเว็บไซต์ไว้ในอุปกรณ์ของผู้ใช้ ทำให้เมื่อกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์อีกครั้ง ระบบสามารถโหลดข้อมูลจากแคชแทนที่จะต้องโหลดใหม่ทั้งหมด -
การลดจำนวน HTTP Requests
ทุกครั้งที่หน้าเว็บโหลด ระบบต้องร้องขอไฟล์ต่างๆ เช่น รูปภาพ ไฟล์ CSS และ JavaScript จากเซิร์ฟเวอร์ ยิ่งมีคำขอมากเท่าไร หน้าเว็บก็จะโหลดช้าลง การลดจำนวนคำขอโดยการรวมไฟล์ CSS และ JavaScript หรือใช้เทคนิค Lazy Loading สำหรับรูปภาพสามารถช่วยให้เว็บไซต์เร็วขึ้นได้ -
การใช้ Content Delivery Network (CDN)
CDN เป็นเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลกและช่วยให้เนื้อหาเว็บไซต์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด ลดระยะเวลาการโหลดหน้าเว็บ -
การลดหรือปรับแต่งโค้ด JavaScript และ CSS
ไฟล์ JavaScript และ CSS ที่มีขนาดใหญ่หรือมีโค้ดที่ไม่จำเป็นจะทำให้หน้าเว็บโหลดช้าลง การลดขนาดไฟล์ (Minification) และลดการใช้สคริปต์ที่ไม่จำเป็นสามารถช่วยให้เว็บไซต์เร็วขึ้น -
การเลือกโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพ
โฮสติ้งที่มีคุณภาพต่ำสามารถทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลงได้ การเลือกโฮสติ้งที่มีเซิร์ฟเวอร์เร็วและรองรับปริมาณการเข้าชมสูงจะช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น -
การใช้เทคนิค Lazy Loading
Lazy Loading เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เว็บไซต์โหลดเฉพาะองค์ประกอบที่จำเป็นในช่วงเวลานั้น เช่น โหลดรูปภาพหรือวิดีโอเฉพาะเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าลงมาเห็น ช่วยลดเวลาในการโหลดหน้าแรกและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ -
การใช้ AMP (Accelerated Mobile Pages)
AMP เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้นบนอุปกรณ์มือถือ โดยลดการใช้โค้ดที่ซับซ้อนและเพิ่มความสามารถในการโหลดเนื้อหาอย่างรวดเร็ว
การวัดและปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์
สามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ความเร็วของเว็บไซต์ เช่น Google PageSpeed Insights, GTmetrix และ Lighthouse เพื่อตรวจสอบว่ามีจุดไหนที่ควรปรับปรุง หลังจากนั้นสามารถใช้เทคนิคข้างต้นเพื่อเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ให้ดีขึ้น
การให้ความสำคัญกับความเร็วของเว็บไซต์ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสถูกจัดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของเว็บไซต์ในระยะยาว
4. การสร้างเนื้อหาคุณภาพ
การสร้างเนื้อหาคุณภาพเป็นหัวใจสำคัญของ On-Page SEO และเป็นปัจจัยหลักที่ Google ใช้ในการพิจารณาจัดอันดับเว็บไซต์ เนื้อหาที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับสูงขึ้น แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านได้รับประสบการณ์ที่ดีและมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้งานซ้ำ
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เนื้อหามีคุณภาพคือความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย ก่อนเขียนเนื้อหาควรทำความเข้าใจว่าผู้อ่านต้องการข้อมูลประเภทใด และควรตอบโจทย์ปัญหาหรือความต้องการของพวกเขาได้อย่างครบถ้วน
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือความถูกต้องของข้อมูล การใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลที่ล้าสมัยหรือไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน
โครงสร้างของเนื้อหาก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพ การแบ่งเนื้อหาให้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน ใช้หัวข้อย่อยเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย และใช้ประโยคที่กระชับแต่ได้ใจความจะช่วยให้เนื้อหาน่าสนใจมากขึ้น
ความยาวของเนื้อหาก็มีผลต่อ SEO โดยทั่วไปบทความที่มีเนื้อหาลึกซึ้งและครอบคลุมหัวข้อที่เขียนมักจะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า อย่างไรก็ตามควรคำนึงถึงคุณภาพมากกว่าปริมาณ และหลีกเลี่ยงการยืดเนื้อหาโดยไม่จำเป็น
การใช้คำหลักอย่างเป็นธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ การใส่คำหลักในจุดที่เหมาะสม เช่น หัวข้อหลัก พารากราฟแรก และเนื้อหาตามธรรมชาติของบทความจะช่วยให้ Google เข้าใจว่าบทความเกี่ยวข้องกับอะไรโดยไม่ทำให้เนื้อหาดูผิดธรรมชาติ
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ช่วยให้เนื้อหามีคุณภาพคือการทำให้เนื้อหามีความสดใหม่และอัปเดตอยู่เสมอ Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่ทันสมัยและมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด การอัปเดตบทความเก่าหรือเพิ่มข้อมูลใหม่เข้าไปจะช่วยให้เว็บไซต์ยังคงมีความน่าสนใจและได้รับการจัดอันดับที่ดี
สุดท้ายการใส่สื่อประกอบ เช่น รูปภาพ อินโฟกราฟิก หรือวิดีโอ สามารถช่วยให้เนื้อหามีความน่าสนใจมากขึ้น และช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสื่อที่ใช้มีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง
5. การปรับแต่ง URL Structure
โครงสร้าง URL ที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ง่ายขึ้น แต่ยังส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ ทำให้พวกเขาสามารถจดจำและแชร์ลิงก์ได้สะดวกขึ้น URL ที่ชัดเจนและเป็นมิตรกับผู้ใช้จะเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์จะได้รับการคลิกมากขึ้น
หลักการปรับแต่ง URL ให้เหมาะสมกับ SEO
-
ทำให้ URL กระชับและเข้าใจง่าย
URL ควรสื่อความหมายของเนื้อหาในหน้าเว็บโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่ไม่จำเป็น เช่น-
ดี:
example.com/on-page-seo-tips
-
ไม่ดี:
example.com/?p=12345
-
-
ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
ควรใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน URL เพื่อช่วยให้ Google และผู้ใช้เข้าใจสิ่งที่หน้าเว็บนำเสนอ เช่น-
ถ้าหน้าเว็บเกี่ยวกับ “เทคนิค SEO พื้นฐาน” ควรใช้ URL เช่น
example.com/basic-seo-tips
-
หลีกเลี่ยง URL ที่ไม่มีคีย์เวิร์ด เช่น
example.com/page1
-
-
ใช้เครื่องหมายขีดกลาง (-) แทนขีดล่าง (_) หรือช่องว่าง
Google แนะนำให้ใช้ขีดกลาง (-) แทนขีดล่าง (_) เพราะขีดกลางช่วยให้ Google แยกแต่ละคำได้ง่ายกว่า เช่น-
ดี:
example.com/seo-guide-for-beginners
-
ไม่ดี:
example.com/seo_guide_for_beginners
-
-
หลีกเลี่ยงตัวอักษรพิเศษและรหัสที่ซับซ้อน
ตัวอักษรพิเศษ เช่น%20
หรือ&
อาจทำให้ URL อ่านยากและดูไม่น่าเชื่อถือ แนะนำให้ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดเพื่อลดความสับสน -
รักษาโครงสร้างไดเร็กทอรีให้เหมาะสม
URL ควรมีโครงสร้างที่เป็นลำดับขั้นตอน โดยไม่ซับซ้อนจนเกินไป เช่น-
ดี:
example.com/blog/seo-tips
-
ไม่ดี:
example.com/2025/04/seo/seo-tips/123xyz
-
-
หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไม่จำเป็น
คำบางคำอาจทำให้ URL ยาวเกินไปโดยไม่จำเป็น เช่น “and,” “the,” “of” เว้นแต่จะช่วยให้ URL อ่านง่ายขึ้น เช่น-
ดี:
example.com/seo-ranking-factors
-
ไม่ดี:
example.com/all-about-the-seo-ranking-factors
-
-
ใช้ HTTPS เพื่อความปลอดภัย
Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS มากกว่า HTTP เพราะช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งาน URL ควรอยู่ในรูปแบบhttps://example.com
เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ประโยชน์ของ URL ที่ดีต่อ SEO
-
ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บ ได้เร็วขึ้น
-
เพิ่มโอกาสในการคลิก (CTR) เนื่องจาก URL อ่านง่ายและสื่อความหมาย
-
ช่วยให้ผู้ใช้จดจำและแชร์ลิงก์ได้สะดวกขึ้น
-
ลดความเสี่ยงของเนื้อหาซ้ำซ้อน (Duplicate Content) ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับ
สรุป การปรับแต่งโครงสร้าง URL เป็นส่วนสำคัญของ On-Page SEO ควรใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ทำให้ URL อ่านง่าย หลีกเลี่ยงอักขระพิเศษ และรักษาโครงสร้างให้กระชับ เพื่อให้ Google และผู้ใช้สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา
6. การใช้ Alt Text สำหรับภาพ
Alt Text หรือ Alternative Text คือข้อความที่ใช้แทนภาพบนเว็บไซต์ มีหน้าที่หลักในการช่วยให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google เข้าใจเนื้อหาของภาพ รวมถึงช่วยให้ผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางสายตาสามารถรับรู้เนื้อหาของภาพผ่านโปรแกรมอ่านหน้าจอ
ความสำคัญของ Alt Text
-
ช่วยในการทำ SEO
Google ไม่สามารถ “มองเห็น” รูปภาพได้ แต่จะใช้ Alt Text ในการวิเคราะห์เนื้อหาของภาพเพื่อจัดอันดับผลการค้นหา โดยเฉพาะในการค้นหาภาพ (Image Search) หากใส่ Alt Text ที่เหมาะสม โอกาสที่ภาพจะติดอันดับสูงขึ้นก็มีมากขึ้น -
ช่วยให้เว็บไซต์เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ผู้ใช้ที่มีปัญหาทางสายตาจะใช้โปรแกรมอ่านหน้าจอ (Screen Reader) เพื่ออ่านข้อความบนเว็บไซต์ หากภาพไม่มี Alt Text ผู้ใช้กลุ่มนี้จะไม่สามารถรับรู้เนื้อหาของภาพได้ -
ช่วยแสดงข้อความแทนภาพเมื่อโหลดไม่ขึ้น
หากภาพไม่สามารถโหลดได้ ไม่ว่าจะเกิดจากข้อผิดพลาดของเซิร์ฟเวอร์ หรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตช้า เบราว์เซอร์จะแสดง Alt Text แทนภาพ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาที่ควรจะแสดง
วิธีเขียน Alt Text ให้มีประสิทธิภาพ
-
อธิบายเนื้อหาของภาพให้กระชับและตรงประเด็น
ควรเขียนให้สั้นและสื่อความหมายได้ดี เช่น หากเป็นภาพของ “กาแฟลาเต้ในแก้วเซรามิก” ให้ใช้ Alt Text ว่า “กาแฟลาเต้ในแก้วเซรามิกสีขาวพร้อมลายฟองนม” -
ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องกับ SEO อย่างเป็นธรรมชาติ
เช่น หากหน้าเว็บเกี่ยวกับ “กาแฟพิเศษ” ควรใช้ Alt Text ที่มีคำว่า “กาแฟพิเศษ” แต่อย่าใช้มากเกินไปจนเป็นการสแปมคำหลัก -
อย่าใช้คำว่า “ภาพของ” หรือ “รูปของ”
Google และโปรแกรมอ่านหน้าจอทราบอยู่แล้วว่าเป็นภาพ การใช้คำเหล่านี้จะทำให้ข้อความยาวเกินความจำเป็น -
ใช้ภาษาให้เป็นธรรมชาติและอ่านง่าย
ควรเขียนให้เหมือนกำลังอธิบายให้ผู้อื่นฟัง เช่น “นักฟุตบอลกำลังยิงลูกโทษในสนาม” แทนที่จะใช้ “ภาพนักฟุตบอลกำลังเล่นฟุตบอลในสนามพร้อมยิงลูก” -
ไม่ต้องใส่ Alt Text สำหรับภาพตกแต่งที่ไม่จำเป็น
หากภาพเป็นเพียงองค์ประกอบของการออกแบบ เช่น เส้นคั่นหรือไอคอนที่ไม่มีผลต่อความหมายของเนื้อหา ควรเว้น Alt Text ว่างไว้หรือใส่เป็นalt=""
เพื่อให้โปรแกรมอ่านหน้าจอข้ามไป
การใช้ Alt Text อย่างถูกต้องไม่เพียงช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกใจ Google แต่ยังช่วยให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อการทำ SEO และประสบการณ์ของผู้ใช้
บทสรุป
On-Page SEO เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ถูกใจ Google โดยการใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา, ความเร็ว, และประสบการณ์ของผู้ใช้งานจะช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสในการขึ้นอันดับในผลการค้นหา ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มผู้เข้าชมและโอกาสทางธุรกิจที่ดีขึ้น