Sustainability vs. Profit ธุรกิจซื้อมาขายไปต้องเลือกจริงหรือ?

ในยุคปัจจุบันที่ธุรกิจและองค์กรต่างๆ ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้อม การใส่ใจเรื่อง ความยั่งยืน (Sustainability) กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หลายๆ ธุรกิจเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความเข้าใจผิดที่ว่า การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนอาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรหรือทำให้การดำเนินธุรกิจขาดทุนได้ ทำให้หลายธุรกิจลังเลและต้องเลือกว่าจะให้ความสำคัญกับความยั่งยืนหรือจะเน้นการทำกำไรแทน

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความยั่งยืนและกำไร

มีหลายคนที่เชื่อว่าความยั่งยืนและกำไรไม่สามารถเดินไปด้วยกันได้ เพราะการทำธุรกิจในลักษณะที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคมอาจจะต้องลงทุนมากขึ้น หรือปรับปรุงกระบวนการที่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า การเลือกทำธุรกิจในรูปแบบดั้งเดิมอาจทำให้สามารถลดต้นทุนและเพิ่มกำไรได้มากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว การยึดมั่นในหลักการความยั่งยืนไม่ได้หมายความว่าธุรกิจจะต้องสูญเสียกำไรเสมอไป

ความยั่งยืนสามารถเพิ่มกำไรได้อย่างไร?

  1. การลดต้นทุนระยะยาว

การเลือกใช้วัสดุหรือกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอาจต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง เช่น การติดตั้งระบบพลังงานหมุนเวียน หรือการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ แต่เมื่อพิจารณาระยะยาว การลงทุนในสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เช่น การลดค่าไฟฟ้า หรือการลดต้นทุนการจัดการขยะและของเสีย นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตในกรณีที่กระบวนการหรือวัสดุที่ใช้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น

  1. การสร้างความภักดีจากลูกค้า

ในปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องความยั่งยืน การแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่มีความยั่งยืนสามารถสร้างความไว้วางใจและภักดีจากลูกค้าได้มากขึ้น ลูกค้าเหล่านี้มักจะไม่เพียงแค่ยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่ยั่งยืน แต่ยังพร้อมที่จะสนับสนุนแบรนด์ที่มีจริยธรรมสูง

  1. การดึงดูดนักลงทุนและพันธมิตรที่มีแนวคิดเดียวกัน

นักลงทุนหลายรายในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกิจที่มีความยั่งยืน การเลือกทำธุรกิจที่ยั่งยืนอาจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนจากนักลงทุนที่มีความสนใจในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (Environmental, Social, and Governance: ESG) โดยเฉพาะในช่วงที่โลกให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

  1. การตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลง

ความต้องการของตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคเริ่มคาดหวังว่าธุรกิจจะดำเนินการอย่างยั่งยืนและโปร่งใส ธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการนี้ได้จะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้น การปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มนี้สามารถช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการขยายตลาดและเพิ่มฐานลูกค้า

ตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจที่ยั่งยืนและยังสามารถทำกำไรได้

  1. Patagonia – แบรนด์เครื่องแต่งกายระดับโลกที่มีชื่อเสียงในการใส่ใจสิ่งแวดล้อมและใช้วัสดุที่ยั่งยืนในการผลิตสินค้า แม้ว่าการผลิตสินค้าด้วยวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะมีต้นทุนสูงขึ้น แต่ Patagonia ก็สามารถสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและสร้างความภักดีจากลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังได้ผลประโยชน์จากการที่ลูกค้าไว้วางใจและพร้อมที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้น
  2. Tesla – บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล Tesla ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยมลพิษจากการขนส่ง แต่ยังสามารถสร้างกำไรได้มหาศาลจากการขายรถยนต์ไฟฟ้าและการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานทดแทน
  3. Unilever – บริษัทที่ผลิตสินค้าหลากหลายประเภท เช่น ของใช้ในบ้านและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ Unilever มุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความยั่งยืนในทุกกระบวนการ ผลลัพธ์คือ บริษัทสามารถเพิ่มรายได้จากการขายสินค้าที่ยั่งยืนได้มากขึ้นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

สรุป Sustainability vs. Profit ธุรกิจซื้อมาขายไปต้องเลือกจริงหรือ?

ในยุคปัจจุบันที่ความยั่งยืน (Sustainability) และการทำกำไร (Profit) กลายเป็นสองประเด็นหลักที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ ธุรกิจซื้อมาขายไปอาจมองว่าทั้งสองแนวทางนี้ขัดแย้งกัน เนื่องจากการนำความยั่งยืนมาปรับใช้อาจเพิ่มต้นทุนและส่งผลต่อกำไรในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ความจริงกลับตรงกันข้าม ความยั่งยืนสามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มกำไรและสร้างมูลค่าให้ธุรกิจในระยะยาวได้

ธุรกิจซื้อมาขายไปที่มุ่งเน้นความยั่งยืนสามารถลดต้นทุนได้ผ่านการปรับปรุงกระบวนการ เช่น การลดของเสียในห่วงโซ่อุปทาน หรือการใช้วัสดุรีไซเคิลที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย อีกทั้ง การเลือกซัพพลายเออร์ที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมสามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นคงในระยะยาว

ในด้านการตลาด ความยั่งยืนยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความภักดีของลูกค้า ผู้บริโภคยุคใหม่มีแนวโน้มสนับสนุนแบรนด์ที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การสื่อสารความยั่งยืนอย่างโปร่งใส เช่น การรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือการมีส่วนร่วมในโครงการเพื่อสังคม ช่วยสร้างความไว้วางใจและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น ธุรกิจซื้อมาขายไปไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างความยั่งยืนและกำไร แต่สามารถผสมผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันเพื่อสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืน ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่ต้นทุน แต่เป็นการลงทุนในอนาคตที่ช่วยสร้างความแตกต่าง เพิ่มมูลค่า และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกและสังคม